2552/01/06

Antique..... Art of Thailand .....เมื่อคุณย่าไปชมพระเมรุ พระพี่นางฯ แห่งสยาม ณ ทุ่งสนามหลวง



.......... เดินทางไปในวันใกล้จะรื้อถอนแล้ว ถ้าจำไม่ผิด ก่อนรื้อถอน 1 อาทิตย์ ................ .คนเยอะมาก ต้องเข้าแถวนานเป็นชั่วโมง ถ้าต้องการจะชมด้านใน รอบๆ พระเมรุ .................... แต่ถ้ามีความอดทน พอถึงเวลาได้ชมและถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึกก็ถือว่า คุ้มค่าที่เข้าคิวรอ สวยงามมาก

..... เหนื่อย ก็ เหนื่อย เมื่อย ก็เมื่อย ...... แต่ก็คุ้มค่าที่ได้ไปชม นับว่าเป็นบุญสักครั้ง.......ในชีวิต.....................




PRINCESS GALYANI SISTER OF THE KING PASSES AWAY

Princess Galyani "passed away at 2:54 am on January 2, 2008," the household said in a statement. The king‘s elder sister had been undergoing treatment for abdominal cancer at Bangkok‘s Siriraj Hospital since June last year. The king, who was close to his sister and visited her in hospital almost daily, declared a 100-day mourning period among royal family members and royal court officials.

The princess had been received treatment for cancer at the hospital for months. Well-wishers had flocked to the hospital since the news spread that she was admitted.

The princess is the elder sister of two kings of the Chakri Dynasty (Bangkok Dynasty) -- King Rama Ananda (King Rama the 8th) and the present King Bhumibol Adulyadej (King Rama the 9th). She had stomach pain in June last year and X-ray test showed that she had cancer. Early Royal statements said she had problems with the right side of her body, and scans found that some parts of her brain were dysfunctional, caused by blood clots.

Nearly 1,000 Thais rushed to the hospital on hearing the news, police said. Many of them were wearing black and clutching pictures of the princess, while television footage showed a sobbing elderly woman knelt in front of her portrait.

She began her academic career as a professor of French at Bangkok's Chulalongkorn University, the kingdom's most prestigious academic institution.

After a 10-year break from teaching, she took over as head of the French department at Thammasat University in 1969 and later headed the Association of French Professors in Thailand, working to promote the French language.

Later in life, the princess devoted her energies to rural development and education, particularly in Thailand's impoverished northeast.

the 5th.) and his commoner wife, Sangwal.

Princess Galyani married Col. Aram Ratanakul Serireungriddhi, a royal aide but a commoner, in 1944, which meant she had to give up the royal title she was awarded in 1935. The couple had a daughter but were divorced in 1949. The royal title was restored by King Bhumibol in 1950, after the divorce.

She married again in 1969 to Prince Varananda Dhavaj, a professional pilot, who died in 1990.

The royal funeral will take place at the Dusit Mahaprasart ThroShe also chaired several charities, including the Kidney Foundation, and helped secure funding for the construction of rural schools.

The princess was noted for her interest in the arts, especially theater and classical music, a taste cultivated when she, like the king, was educated in Switzerland, where she spent much time until later life.

She spoke five languages, and loved to travel, documenting many of her journeys in books. She was the oldest child of Prince Mahidol, a son of King Chulalongkorn (King rama ne inside the Grand Palace. The mourning period will last until the 100th day of her departure, according to the Bureau



HRH PRINCESS GALYANI VADHANA REMEMBERED AS A TALENTED WRITER

The elder sister of His Majesty King Bhumibol Adulyadej, Her Royal Highness Princess Galyani Vadhana was known for her writing talent.

When she was free from her teaching of French literature and charity works, the Princess devoted herself to writing a wide collection of books.

Several of her books focused on the history of the current Chakri Dynasty as well as a biography of King Rama V, King Bhumibol Adulyadej and her own mother, the Princess Mother.

Accuracy was the most important component of her books. Before finishing the books, Princess Galyani Vadhana worked like a historian. She conducted extensive research and cross-checked all information.

When writing about her own mother and brother, she conducted a dozen interviews with both of them. Part of the preface of the masterpieces read “It was strange when I really sat down to write about my beloved ones, I was not so sure of many details. It was necessary to repeat several interviews again and again”.

As an enthusiastic traveler, the late Princess documented her extensive traveling experience in a wide collection of books.

Her working method was also very interesting. At the end of a traveling day, each of her entourage was given a questionnaire asking for their reflection on historical or archaeological sites they had just witnessed. The questionnaire was dubbed as the “daily homework assignment” among the entourage.

Their answers were analyzed and included in the books. Literary critics said that was why her books boasted different perspectives.

Her traveling memoirs were also highly praised for their archaeological and geographic values.

Moreover, Princess Galyani Vadhana requested all TV scripts about her trips abroad be submitted to her office for approval. Her aides said the Princess always read the scripts thoroughly herself and made corrections accordingly, so as to ensure maximum accuracy.

Credit : Pataya Daily news
mayNews Type : Thailand news
Story : Methawee



"เกร็ดความรู้ เรื่องพิธี "พระศพ"

1.สางพระเกศาขึ้น-ลง 1 ครั้ง แล้วหักพระสางทิ้ง
การที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สางพระเกศาพระศพขึ้น 1 ครั้ง ลง 1 ครั้ง แล้วหักพระสางวางไว้ในพาน แสดงถึงว่าเป็นการสาง (หวี) พระเกศาครั้งสุดท้าย สางพอเป็นสัญลักษณ์พอเป็นพิธี เพื่อแสดงว่าไม่ต้องการความสวยงามใดๆ อีกแล้ว เป็นเครื่องหมายว่าหมดประโยชน์ ไม่มีความจำเป็นต้องแต่งกายใดๆ อีกแล้ว และเมื่อหักสางทิ้งไปแล้ว ก็จะเอาไปไว้ที่ไหนก็ได้ ซึ่งเหมือนกับประเพณีของประชาชนด้วย ที่แสดงว่าจะไม่ได้ใช้สางนั้นอีกต่อไปแล้วจึงต้องหักทิ้งไป

2.เศวตฉัตรประกอบพิธีพระศพ
เศวตฉัตรประกอบพิธีพระศพนั้นจะแตกต่างกันไป ตามพระอิสริยยศที่แตกต่างกัน
ฉัตร 9 ชั้น : พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ฉัตร 7 ชั้น : สมเด็จพระบรมราชินี สมเด็จพระบรมราชชนนี สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สมเด็จพระบรมราชกุมารี
ฉัตร 5 ชั้น : สมเด็จเจ้าฟ้า ในส่วนพิธีพระศพของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ นั้นจะเรียกว่า "เบญจปฎลเศวตฉัตร" หมายถึงฉัตรขาวที่มีเพดาน 5 ชั้น .

ขั้นตอนเมื่อเชิญพระศพมายังพระบรมมหาราชวังแล้ว จะเชิญพระศพไปประดิษฐานที่พระที่นั่งพิมานรัตยา ซึ่งอยู่ด้านหลังทางทิศใต้ของพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ซึ่งพระที่นั่งองค์นี้จะเป็นวิมานที่บรรทมของพระมหากษัตริย์ และสมเด็จพระอัครมเหสี และเจ้านายฝ่ายในชั้นสูง แต่ในระยะหลังจะใช้เป็นที่ประดิษฐานพระศพ ในการสรงน้ำพระศพ เมื่อสรงน้ำพระศพที่พระที่นั่งพิมานรัตยาแล้วจึงจะอัญเชิญพระศพไปประดิษฐานที่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท การประดิษฐานพระศพตามราชประเพณีอยู่ทางมุขด้านตะวันตก พระโกศสำหรับสมเด็จเจ้าฟ้าจะใช้พระโกศทองใหญ่ และใช้เครื่องสูงทองแผ่ลวด มุขด้านใต้จะเป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปประจำพระชนมวาร (พระประจำวันเกิด) ซึ่งพระพุทธประจำพระชนมวารของสมเด็จพระพี่นางเธอฯ คือ พระพุทธรูปปางถวายเนตร ซึ่งเป็นปางประจำวันเกิดวันอาทิตย์ งานหลังจากนี้ต่อไปจนถึง 100 วัน จะเป็นการพระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรม พระพิธีธรรมจะเป็นงานที่ใช้เฉพาะงานหลวง จะสวดทั้งวันทั้งคืน มีการย่ำยามทุก 3 ชั่วโมง มีปี่ กลอง ประโคม ด้วยทำนองที่เศร้าสร้อย

3.ประโคมย่ำยามทุก 3 ชั่วโมง
การสวดพระพิธีธรรมพระอภิธรรม จะมีการประโคมย่ำยามทุก 3 ชั่วโมง มีปี่ กลอง ประโคม ด้วยทำนองที่เศร้าสร้อย ตั้งแต่ 06.00 น. 09.00 น. 12.00 น. ไปจนถึง 24.00 น. เพื่อบอกเวลาว่าครบ 3 ชั่วโมง ก็จะประโคมขึ้นหนึ่งครั้ง ส่วนการสวดพระอภิธรรมจะสวดทั้งวันทั้งคืน แต่จะมีเวลาพักเว้นระยะเป็นช่วงๆ อาจจะหยุดพักสัก 10-15 นาที ซึ่งจะเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของเจ้านายชั้นสูงขึ้นไป โดยหลักคิดก็จะไม่แตกต่างกับการจัดงานศพของประชาชนทั่วไปตามหลักพระพุทธศาสนา แต่อาจจะเพิ่มรายละเอียด ปริมาณและคุณภาพเข้ามา ขึ้นอยู่กับความพร้อมของเจ้าภาพที่จะจัดงานนอกจากนี้จะมีการบำเพ็ญพระราชกุศลเมื่อครบ 7 วัน 50 วัน และ 100 วัน พิธีกรรมก็จะเหมือนกัน นั่นคือ มีการสวดมนต์ แสดงพระธรรมเทศนา 1 กัณฑ์ ถวายภัตตาหารเพลแด่พระสงฆ์ สดับปกรณ์ (บังสุกุล)

4.สมเด็จพระพี่นางเธอฯ อยู่ในลำดับพระอิสริยยศชั้น "เจ้าฟ้า"
ภาษาที่ใช้เรียกในการประกอบพิธีพระบรมศพ พระศพ จะแตกต่างกันตามพระอิสริยยศ โดยสมเด็จเจ้าฟ้า จะเรียกว่า พระศพ ส่วนพระยศที่สูงกว่า ตั้งแต่พระมหากษัตริย์ สมเด็จพระบรมราชินี สมเด็จพระบรมราชชนนี สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สมเด็จพระบรมราชกุมารี จะเรียกว่า"พระบรมศพ"ส่วนพระราชพิธีพระราชทานเพลิงศพ ตามราชประเพณีจะสร้างพระเมรุในช่วงฤดูแล้งประมาณเดือนมีนาคม เมษายน ทั้งนี้แล้วแต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ

5.การแต่งฉลองพระองค์ไว้ทุกข์
การแต่งกายของพระมหากษัตริย์ และพระบรมวงศ์ศานุวงศ์ สำหรับการไว้ทุกข์มี 2 แบบ ฉลองพระองค์เต็มยศ และฉลองพระองค์แบบสากล แบบแรกฉลองพระองค์ไว้ทุกข์ด้วยเครื่องแบบเต็มยศ สายสะพายจักรี ติดแขนทุกข์ใต้พระกรซ้าย และจะฉลองพระองค์เครื่องแบบเต็มยศสายสะพายจักรี ในการบำเพ็ญพระราชกุศลเมื่อครบ 7 วัน 50 วัน 100 วัน และวันออกพระเมรุ ส่วนแบบสากลฉลองพระองค์สูทสีดำ ติดแขนทุกข์ใต้พระกรซ้าย สำหรับข้าราชการ ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ก็แต่งกายไว้ทุกข์ตามราชประเพณีตามแต่จะมีหมายกำหนดการกำหนดแจ้งไว้ ส่วนประชาชนก็แต่งกายไว้ทุกข์แบบสุภาพตามประเพณีที่ปฏิบัติ

6.ขบวนรถอัญเชิญพระศพเป็นแบบเรียบง่ายโดยรถโรงพยาบาล
ขบวนรถจะจัดอย่างไรก็ได้ไม่มีระเบียบแบบแผน และจะเป็นแบบเรียบง่ายที่ปฏิบัติกันมาในอดีตก็จะอัญเชิญโดยรถโรงพยาบาลเหมือนกันทุกพระองค์

'7.การปฏิบัติตนไว้ทุกข์ของประชาชน
การปฏิบัติตนของประชาชนในการเข้าไปถวายสักการะพระฉายาลักษณ์ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ตั้งแต่วันที่ 10 มกราคมเป็นต้นไปนั้น เบื้องต้นประชาชนควรแต่งกายไว้ทุกข์ตามประเพณีใส่เสื้อผ้าสีดำหรือสีขาว การกราบพระศพจะกราบครั้งเดียวไม่แบมือ สุภาพสตรีควรนุ่งกระโปรง เพราะตามธรรมเนียมที่จะไม่นุ่งกางเกงเข้าในพระบรมมหาราชวัง ถ้าเป็นไปได้ก็ควรสวมรองเท้าหุ้มส้น ถ้าไม่มีก็ต้องเป็นแบบเรียบร้อย ส่วนประชาชนทั่วไปที่จะแสดงออกเพื่อถวายเป็นพระราชกุศล สามารถทำได้ทุกอย่าง ทำที่ไหนก็ได้ ไม่ต้องรอให้ถึงวันที่ 10 มกราคม สามารถทำได้ทันที ทั้งการตักบาตร ทำบุญ บำเพ็ญกุศล บำเพ็ญทาน ถวายสังฆทานต่างๆ บวชพระ เลี้ยงพระ นิมนต์พระมาเทศน์ ก็ทำได้

8.บรรจุพระศพลงหีบพระศพแทนพระโกศ
(ชัชพล ชัยพร) ตามโบราณราชประเพณีเมื่อพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ เสด็จสวรรคต จะประกอบพิธีบรรจุพระบรมศพ พระศพ ลงในพระโกศ แต่ในรัชกาลปัจจุบันพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้เชิญพระบรมศพ และพระศพ ลงหีบพระศพ แทนใส่การใส่พระโกศ ซึ่งสามารถทำได้ตามพระราชอัธยาศัย ได้แก่ พระบรมศพสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี และพระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ

ขอขอบคุณข้อมูล
- นายธงทอง จันทรางศุ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม
- นายชัชพล ชัยพร อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
-
เว็บไซต์มติชนออนไลน์

Ancient City....Muang BoRan..in Thailand.... เมืองโบราณ .....ครั้งแรกในชีวิต

..... ไม่เคยได้คิดว่าจะไปเมืองโบราณที่สมุทรปราการมาก่อนเลยจริงๆ เอาเป็นแบบชัดๆเลยดีกว่าว่า ไม่เคยมีอยู่ในหัวสมองเลยด้วยซ้ำ ทั้งที่บ้านที่อาศัยก็อยู่แถว ราษฏร์บูรณะ.................... ถ้าว่าไปแล้วห่างกันไม่กี่สิบโลเท่านั้นเอง ยอมรับเลยเป็นอย่างที่โบราณว่าไว้ว่า ......ใกล้เกลือกินด่าง...... ดังคำกล่าวนั้นจริงๆ

..... การที่ได้ไปก็เป็นการไม่ได้คาดหรือวางแผนแต่อย่างใด เริ่มจากการที่หลานสาวมาเที่ยวช่วงปีใหม่ที่บ้านและกำลังเป็นวันสุดท้ายที่จะอยู่ที่กรุงเทพ วันรุ่งขึ้นก็ต้องกลับไปบ้านที่ปทุมอยู่แล้ว........ ตอนเช้าของวันที่ 2 มกราคม 2552 ไปทำสังฆทานที่วัดมาเสร็จ ก็เกิดการอยากเที่ยวเป็นวันสุดท้าย คิดได้ดังนั้นก็สุมหัวหาที่เที่ยว ที่ใกล้และน่าจะเวิร์คที่สุดเท่าจะนึกได้ ก็ไปจะเอ๋เข้ากับเมืองโบราณ..... เอาละหว่า ใกล้สุด ไปที่เดียวได้ดูอะไรต่อมิอะไรได้เกีอบทุกจังหวัดของประเทศไทย ถึงจะเป็นเมืองจำลองก็เถอะ ดีกว่านอนตีพุงอยู่บ้านเป็นไหนๆ ....................

..... คิดได้ดังนั้น ก็เอาล่ะ มีอ
ะไรต้องเตรียมไปบ้าง หมวก ร่ม เป้สำหรับใส่ขนมคบเคี้ยว และที่สำมะคัญ สตางค์ สำหรับการเดินทาง และขนม เสบียงต่างๆ ตามต้องการและความอยากจะกิน ว่ากันตามอัธยาใส ว่าแล้วก็สตาร์ท ออกจากบ้าน โอโห...ปาเข้าไป 11 โมงกว่าแล้ว
..... ไม่รอช้า ว่าจะไปแท็กซี่ไปลงที่พระสุมทรเจดี แล้วข้าม เรือเอา... แต่คำนวณ ไปมาแล้ว 4 คน .... อิอิ นั่งรถตู้ดีกว่า คนละ 15 บาท.... เบ็ดเสร็จก็ 60 บาท ถึงที่หมาย อย่างรวดเร็ว ลงพระสมุทรเจดี สายตาปะทะเข้ากับของกินที่เรียงรายอยู่ข้างทางก่อนจะลงเรือ ถึงจำนวนจะไม่มากเท่าไร เนื่องจากเป็นวันหยุดต่อเนื่องปีใหม่ พ่อค้าแม่ค้าหลายรายคงจะหยุดกลับบ้านที่ต่างจังหวัดกันไปหลายอยุ่.... แต่ก็มากพอที่จะให้ระบบย่อยทำงาน เพราะกำลังจะเข้าสู่เวลาอาหารกลางวันพอดี (นี่ขนาดก่อนออกจากบ้านฟาดข้าวที่บ้านมาเป็นทุนก็แล้วนะ) กินข้าวกินก๋วยเตี๋ยวกันตามสบายเสร็จ ก็ปาเข้าไป เที่ยงพอดี .....

..... อ้าวสปีดกันหน่อย เดี๋ยวจะขาดทุนเวลาเที่ยว ข้ามเรือ จากท่า เจดีย์ ไป ท่าปากน้ำ ก็คนละ 3.50 บาท ราคาก็โอเคนะ ตอนแรกว่าทำไมมันแพงจัง แต่เห็นเรีอวิ่งแล้ว ราคาถูกลงทันที เพราะเรือไม่ได้วิ่งแค่ข้ามฝากเท่านั้น ก่อนจะข้ามต้องอ้อมเกาะเล็กๆ ที่เป็นของทหารเรือ ชึ่อว่า ป้อมผีเสื้อสมุทร ช่วงแม่น้ำปากอ่าวก็กว้างพอสมควร พอเรือเทียบฝั่งได้ ก็ดิ่งไปที่ป้ายรถเลย ไม่รู้จะไปรถอะไร งงล่ะ ..... เรียกแท็กซี่ล่ะกันเพราะดูแล้วว่ารถสองแถว หรือรถเมล์ สงสัยจะวิ่งเป็นหวานเย็นซะละมั่ง....... จับแท็กซี่ได้ ก็ดิ่งไปเมืองโบราณทันที............ ประมาณ 15-20 นาที ก็เข้าจอดที่จอดรถเมืองโบราณ เป็นอันถึงที่หมายสมใจอยาก

..... ลงรถเข้าไปซื้อตั๋วสำหรับคนไทย 150 ต่อคน (เอาเรี่องเหมือนกันสำหรับคนไทย ได้ต่ำกว่านี้
คนไทยคงมาเที่ยวกันมากกว่านีนะ ) อ้าวบวกด้วยค่ารถรางอีกคนละ 50 บาท ถ้าคิดว่าเดินไหว ก็ไม่ต้องขึ้นรถราง ก็เซฟไป 50 บาทต่อคน ..... แต่ทีมดูแล้ว รถรางดีกว่า เสียครั้งเดียว ขึ้นลงตรงไหนได้ตลอดทุกคัน แค่โชว์ตั๋วที่ซึ้อไปให้พนักงานดูทุกครั้งที่ขึ้นก็เป็นอันใช้ได้ .....

..... คนมาเที่ยวก็ถือว่าไม่น้อย ทั้งคนไทย คนต่างชาติ ท่าทางแฮปปี่เอ็นดิ้งกันดี ขึ้นรถรางเต็ม รถก็ออกเดินทางเข้าด้านในละ ก็มีพนักงานบนรถรางให้ความรู้ว่าอะไร เป็นอะไร สมัยไหน ก็ว่ากันไปเป็นความรู้ทั่วไปก็ไม่เลวทีเดียว บรรยกาศก็โอเค แม้ว่าแดดจะแรงไปสักนิด ........... ได้ชมวิวสวยๆ ความรู้ทางประวัติศาสตร์นิดหน่อย ....นึกขึ้นได้ ตายละหว่า... ลืมเอากล้องมาถ่ายรูป ไว้เป็นที่ระลึก เกิดอาการเสียดายกันสักพัก... ก็.. มือถึอนี่ล่ะวะ ถ่ายกันไป เอาเท่าที่ได้ ที่มีก็ละกัน..........................

..... ส่วนบรรยกาศการเที่ยว ไม่เล่าละกัน เอาเป็นว่าใครอยากรู้ก็หาเวลา พาเด็กๆไปเทียวดูกันเองก็แล้วกันนะ สำหรับผมแล้วว่าไม่เสียใจที่ไปเลย เสียดายอย่างเดียว อยู่กรุงเทพมา 40 ปี เพชรอยู่ข้างๆ ไม่เคยแลเห็นเลย.. ใครได้อ่านบทความนี้แล้ว ผมบอกได้เลย จัดการแพ็กกระเป๋าเอาเฉพาะของกิน กับน้ำไปได้เลย (ด้านในก็มีอาหารขายนะ แต่ถ้าให้ได้

บรรยกาศ ก็ทำไปกินกันเองก็ดีไม่น้อย ข้อสำคัญ ประหยัดให้สมกับเศรษฐกิจในปี 2552 ได้ดีทีเดียวเชียว
..... ใครมีโอกาสได้ไปเทียวก็ลอง มาเล่าสู่กันฟังบ้างก็ดีครับ .... เอามันส์ เที่ยวไทย หายใจสบายสบาย อิอิ..


..............................................................

Muang BoRan in Thailand ...... Ancient Siam

This article does not cite any references or sources. Please help improve this article by adding citations to reliable sources. Unverifiable material may be challenged and removed. (October 2008)
Ancient Siam (formerly known as Ancient City)(
Thai: เมืองโบราณ, Mueang Boran) is a park constructed under the patronage of Lek Viriyaphant and spreading over 200 acres (0.81 km2) in the shape of Thailand.
The founder's original idea was to create a golf course with miniatures of Thailand's historically significant structures spreaded around the course. During his research he found most structures being severely damaged over time and decided instead of creating new miniatures to save the original structures when possible or re-creating them full size or scaled down.

Ancient Siam is dubbed as the world's largest outdoor museum. Situated close to the Crocodile Farm in Samut Prakan province, the 320-hectare city features 116 structur

es of Thailand's famous monuments and architectural attractions. The grounds of Ancient Siam correspond roughly to the shape of the Kingdom, with each of the monuments lying at their correct places geographically. Some of the buildings are life-size replicas of existing or former sites, while others are scaled down.
The replicas were constructed with the assistance of experts from the

National Museum to ensure historical accuracy. Outstanding works include the former Grand Palace of Ayutthaya (destroyed in the Burmese invasion of 1767), Phimai Sanctuary in Nakhon Ratchasima, and Wat Khao Phra Viharn on the Cambodian border.


From Wikipedia, the free encyclopedia
Ancient Cityhttp://www.ancientcity.com/